วันศุกร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2555

สนามฟุตบอลที่ว่างเปล่า ตอนที่ 1

ฟุตบอลเป็นกีฬายอดนิยมของชาวโลกเรา ปัจจุบันมีการแข่งขันทั้งประเภทชายและประเภทหญิง ซึ่งมีแข่งกันทั้งปีทั้งระบบลีกและทัวนาเมนท์ ผมเป็นคนหนึ่งที่คลั่งไคล้กีฬาชนิดนี้มาก ตอนประมาณประถมหก มีความฝันว่าสักวันหนึ่งอาจจะเตะฟุตบอลเลี้ยงชีพให้ได้ ผมฝึกเหมือนกับเด็กๆที่ชอบฟุตบอลทุกคนทุกครั้งที่วิ่งเตะฟุตบอลรู้สึกสนุกและมีความสุขมาก ผมเล่นทุกวันมีครูช่วยในการฝึกฝน แต่จุดหักเหที่ผมคิดว่า ทำให้ตัวเอง ไม่สามารถมีพัฒนาการจนไปถึงระดับผู้เล่นอาชีพ เนื่องจากในตอนนั้น ผมเลือกที่จะเรียนทางด้านวิทยาศาสตร์ โดยเข้าเรียนที่จุฬาภรณราชวิทยาลัย สตูล ไม่เลือกเรียนโรงเรียนที่ฝึกฟุตบอลอย่างจริงจัง แต่อยู่ที่โรงเรียนผมก็พยายามฝึกหัดด้วยตนเองโดยตลอด แต่เนื่องจากฟุตบอลบ้านเราไม่มีระบบอะไรเลย ทีมฟุตบอลมีแต่ทีมราชการหน่วยงานรัฐ และเอกชนอีกนิดหน่อย และกระจุกตัวอยู่แต่ในกรุงเทพ ในสมัยนั้นคนที่มีโอกาสในการเล่นฟุตบอลต้องผ่านโรงเรียนที่มีชื่อเสียงทางด้านฟุตบอลมาก่อน หากเป็นเด็กจากต่างจังหวัดที่ไม่เคยเล่นที่ไหนมา ต่อให้คุณเล่นได้ดีในระดับหนึ่ง โค้ชก็ไม่มองคุณ อย่างดีก็เป็นได้แค่ตัวสำรอง ได้ลงเล่นท้ายเกมส์ ซึ่งผมประสบบ่อยมาก และที่สำคัญยุคนั้นไม่มีการจ่ายค่าตอบแทนที่มากพอ ถ้าไม่ติดทีมชาติ รับรองต้องเดินสายเล่นไปทั่วทุกคนครับ ดึกดื่นแค่ไหนก็ต้องเล่นครับ เพราะใจมันรักและต้องการเจอคู่แข่งที่เก่งๆเพื่อเสริมประสบการณ์ของเรา

ผมเตะบอลมาจนอายุประมาณ 23 ปี เมื่อจบมหาลัยก็จำเป็นต้องทำอะไรสักอย่าง เส้นทางสายฟุตบอลก็คิดว่าคงไม่สดใส และเริ่มคิดจริงจังกับการทำงานศิลปะ ตั้งแต่เด็กความสามารถพิเศษของผมก็มีแค่ฟุตบอลกับวาดภาพนี่แหละครับที่ทำได้นอกนั้นบอดสนิท หลังจากที่ได้คิดทบทวนตนเองอยู่หลายรอบ เลยหยุดเล่นบอลดีกว่า แล้วตั้งใจทำงานศิลปะอย่างจริงจัง หยุดคือไม่เล่นเลยครับ ไม่ไปสนามบอลเลย ถ้าไปก็ไปเตะแบบเหยาะแหยะ ไม่เต็มที่ เป็นแบบนั้นอยู่เกือบสี่ปี โดยผมไ้ด้เปิดร้านศิลปะที่ภูเก็ตสองปีและกรุงเทพอีกสองปี และได้ย้ายตนเองมาอยู่บ้านเกิดเมื่อสองปีที่แล้ว ช่วงเวลาเหล่านั้นในใจผมก็ยังรักฟุตบอล เมื่อมีเวลาว่างก็พยายามที่จะหาที่เตะฟุตบอล แม้จะต้องกลับบ้านดึกก็ยอม และก็รู้สึกดีใจมากที่ได้กลับมาที่บ้าน เพราะนอกจากจะทำงานแล้ว ผมยังสามารถได้เตะฟุตบอลกับคนแถวบ้านได้อีก ได้คุยและหัวเราะมันช่างมีความสุขจริงๆ

ย้อนกลับไปเมื่อตอนนั้นผมยังจำได้ดี แม้ผมจะเรียนจบประถมที่โรงเรียนสาธิตมหาลัยราชภัฎสงขลา แต่ผมเริ่มเรียนที่โรงเรียนบ้านชะอวดก่อนที่จะย้ายไปสงขลา ทำให้ผมก็ยังรู้จักคนเล่นฟุตบอลแถวบ้านอยู่ ที่ชะอวดในตลาดนั้น จะเล่นฟุตบอลกันที่โรงเรียนชะอวดวิทยาหรือ ช อ บรรยากาศในสมัยนั้นเต็มไปด้วยผู้คนที่ต้องการมาเตะฟุตบอลเยอะมากครับ แบ่งเป็นทีมสิบเอ็ดคนได้เกือบสี่ทีม ทุกคนดูท่าทางจริงจังและขึงขัง แต่เต็มไปด้วยอารมณ์ร่วมในเกมส์ฟุตบอล ผมก็เป็นเด็กไม่กี่คนที่มาเตะ ตอนแรกผู้ใหญ่ก็กลัวเราจะเจ็บ เพราะเรายังเด็กกัน แต่ผมไม่กลัวเพราะใจมันสู้ครับ ก็ลงเล่น ตอนแรกๆก็โดนขู่บ้าง หยอกบ้าง บางทีก็เห็นเพื่อนที่มาเล่นร้องไห้ก็มี แต่เราก็ยังมาเล่นกัน

แต่ในปัจจุบันนี้ที่ชะอวดสนามฟุตบอลมีคนมาเตะน้อยมากครับ วันหนึ่งไม่ถึงยี่สิบคน และที่สำคัญคนที่มาเตะประจำก็เป็นหน้าเดิมที่ผมเตะมาตั้งแต่เด็กๆ คิดดูครับวันนั้นที่เริ่มเตะกับผู้ใหญ่ผมอายุ 12 ปี ผ่านมาเกือบ18 ปี ก็ยังหน้าเดิมอยู่ครับ ขอยกย่องอย่างมากครับกับบุคลเหล่านั้นที่ยังรักในการเตะบอลอยู่ วันนี้ผมคิดว่า ที่ไม่มีใครมาเตะบอลกันนั้น มันเป็นปัญหาใหญ่ครับสำหรับผม เพราะนี่คือรากฐานที่แท้จริงของปัญหาสังคม ยิ่งคนไม่สนใจในการออกกำลังกาย ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ แสดงว่าสังคมนั้นมีปัญหาอย่างแน่นอน นอกจากปัญหาสุขภาพแล้ว แสดงให้เห็นว่าคนในสังคมใช้เวลาว่างไม่เป็นประโยชน์เลยครับ คุณอย่าโกหกตนเองเลยครับว่าคุณทำงาน ไม่มีใครหรอกครับที่ทำงานยี่สิบสี่ชั่วโมง แทนที่จะเอาเวลาที่หยุดจากงาน แล้วนอนหลับ เล่นไพ่ ดูทีวี หรือตั้งวงเหล้า หรืออะไรที่ไม่เกิดประโยชน์ผมว่าหันมาออกกำลังกายกันดีกว่า แค่ไม่กี่นาทีก็ยังดี หากผู้ใหญ่ทำกันเยอะๆ เด็กมันเห็นก็เลียนแบบอย่างแน่นอนครับ แล้วสังคมเราก็จะดีขึ้นครับ เด็กจะได้เลิกเลวกันเสียที เพราะผู้ใหญ่เลิกเลวก่อน 

ผมยังเชื่อว่ายังมีเด็กอีกมากที่อยากเตะบอลครับ ผมกำลังพยายามชวนเด็กๆให้มาเตะบอลกันเยอะๆ เพื่อฟื้นฟูความเสื่อมถอยของสังคมและกีฬาฟุตบอลของชะอวด ให้สนามบอลกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ให้สนามบอลเป็นที่ผ่อนคลายความทุกข์และความเครียดของเราจากการทำงาน ผมไม่ได้คาดหวังในทันทีแต่จะค่อยเป็นค่อยไป ให้มีคนหน้าใหม่เข้ามาเตะเข้ามาเล่นฟุตบอลทั้งเด็ก ทั้งผู้ใหญ่ เสียงหัวเราะ รอยยิ้มที่เคยเห็นจะกลับมาอีกครั้ง เพื่อรักษาสิ่งที่สวยงามที่ผู้คนทั่วโลกต่างชื่นชอบ  กีฬาฟุตบอล


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น